การเงินธุรกิจเป็นสาขาหนึ่งของการเงินซึ่งเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจทางการเงินที่บริษัทต้องตัดสินใจ และวิธีการต่างๆที่ใช้ในการจัดหาเงินทุนสำหรับการดำนเนิงานของบริษัท การลงทุน และการหาโอกาศในการเติบโต ซึ่งรวมถึง การวิเคราะห์ประสิทธิภาพทางการเงินธุรกิจ การระบุโอกาสการลงทุน โดยการใช้วิธีการจัดหาเงินทุนที่เหมาะสมที่สุด ในการจัดการกับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจทางการเงิน 

มีกลยุทธ์การเงินธุรกิจที่สามารถใช้ได้ในระยะยาวหรือระยะสั้นที่สามารถช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท ซึ่งรวมถึงการวิเคราะห์การลงทุน การปรับโครงสร้างหนี้ การระดมทุน การซื้อขายกิจการและการหาพันธมิตรร่วมค้า การจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้บริษัทสามารถตัดสินใจทางการเงินอย่างรอบคับ และสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพของตนเอง และบรรลุเป้าหมายระยะยาวของตนได้ 

การเข้าใจการเงินธุรกิจ จะทำให้บริษัทสามารถเพิ่มมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นและลดความเสี่ยงได้ แต่บริษัทแต่ละรายมีความต้องการในการจัดหาแหล่งทุนที่แตกต่างกันและความเสี่ยงที่แตกต่างกัน 

ขนาด – การเงินธุรกิจแตกต่างกันตามขนาดของบริษัท เนื่องจากธุรกิจขนาดเล็กมักจะมีการเข้าถึงทุนอย่างจำกัดและการดำเนินการเงินที่ง่ายกว่า ในขณะที่บริษัทขนาดใหญ่มีทรัพยากรมากกว่าในการจัดหาเงินทุนและการจัดการระบบการเงินที่ซับซ้อน ปัจจัยอื่นที่แตกต่างกันตามขนาดของบริษัทรวมถึงกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง โอกาสในการลงทุน และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ สรุปแล้ว ขนาดของบริษัท ทำให้บริษัทมีความต้องการทางการเงินและข้อจำกัดทางการเงินที่ไม่เหมือนกันซึ่งต้องใช้กลยุทธ์การเงินที่ปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสม 

อุตสาหกรรม – กลยุทธ์สามารถแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมที่บริษัทดำเนินธุรกิจอยู่ เช่น บริษัทในอุตสาหกรรมเกษตรอาจต้องการการลงทุนมากในเครื่องมือ ที่ดิน และแรงงานเพื่อการผลิตผลิตภัณฑ์ของพวกเขา และอาจต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้า ในขณะที่บริษัทขนส่งส่วนตัวอาจต้องการการลงทุนสำหรับโครงสร้างการขนส่งและการคลังเพื่อบริหารจัดการการดำเนินงาน ส่วนบริษัทในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มอาจต้องการลงทุนมากในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการตลาด และจัดการห่วงโซ่อุปทานและต้นทุนการผลิตอย่างระมัดระวัง แต่ละธุรกิจมีความท้าทายและโอกาสทางการเงินที่เฉพาะเจาะจงที่จะมีผลต่อกลยุทธ์การเงินและการตัดสินใจของบริษัทที่ดำเนินงานในนั้น 

ความเป็นเจ้าของ – บริษัทในสาธารณะอาจมีการเข้าถึงตลาดทุนและต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเข้มงวดมากขึ้น ในขณะที่บริษัทเอกชนอาจมีการควบคุมการตัดสินใจทางการเงินที่รวดเร็ว แต่อาจเผชิญกับข้อจำกัดในการระดมทุนได้ บริษัทที่เป็นเจ้าของโดยครอบครัวอาจให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ธุรกิจเพื่อรุ่งเรื่องให้กับรุ่นต่อไปมากกว่าการสร้างกำไรในระยะสั้น ในขณะที่สตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจากเงินลงทุนจากบริษัทอื่น (Venture-backed startups) อาจให้ความสำคัญกับการเติบโตมากกว่าการทำกำไร แต่ละโครงสร้างการเป็นเจ้าของมีปัจจัยการพิจารณาทางการเงินที่เฉพาะเจาะจงของตน เช่น การเข้าถึงทุน ข้อกำหนดในการปกครอง และมาตรฐานการรายงานทางการเงินที่จะมีผลต่อกลยุทธ์การเงินและการตัดสินใจของบริษัทที่ดำเนินงานในนั้น 

ระยะการพัฒนา (Development stage) – สตาร์ทอัพในระยะต้นอาจมีทรัพยากรทางการเงินที่จำกัดและอาจพึ่งพาการลงทุนจากนักลงทุนในระยะต้น (Angel investors or venture capitalists) เพื่อสนับสนุนการเติบโตของตน ในขณะที่บริษัทที่เข้าสู่ระยะต่อๆ ไป อาจเน้นการสร้างรายได้และการรับทุนจากธนาคารหรือตลาดสาธารณะ บริษัทที่มีชื่อเสียงอาจมีกระแสเงินสดที่แน่นอนและอาจให้ความสำคัญกับการส่งค่าให้กับผู้ถือหุ้นผ่านทางเงินปันผลหรือการซื้อคืนหุ้น 

ความสำคัญของการเงินธุรกิจ

การเงินธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความสำเร็จและการเติบโตของบริษัท เพราะเป็นการเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจทางการเงินอย่างเป็นกลยุทธ์ซึ่งสามารถช่วยให้บริษัทบรรลุเป้าหมายของตนและให้คุณมูลค่าของผู้ถือหุ้นมากที่สุด ต่อไปนี้คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้การเงินธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญต่อบริษัท:

  1. การจัดสรรสินทรัพย์: การเงินธุรกิจช่วยให้บริษัทจัดสรรสินทรัพย์ของตนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงการกำหนดว่าการลงทุนหรือการขายธุรกิจ (Divestment) ใดจะทำให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด โครงการใดควรได้รับการสนับสนุนและวิธีการที่ควรจะใช้ในการจัดหาเงิน 
  2. การจัดการความเสี่ยง: การเงินธุรกิจช่วยให้บริษัทจัดการกับความเสี่ยงโดยการหาสมดุลความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน ซึ่งรวมถึงการประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนต่างๆ และเลือกผลตอบแทนที่ดีที่สุดตามความเสี่ยงที่บริษัทสามารถรับได้ 
  3. การสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นสูงสุด: การเงินธุรกิจช่วยให้บริษัทสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นสูงสุดผ่านการเพิ่มกำไรและราคาหุ้นของบริษัท ซึ่งมาจากการตัดสินใจที่เหมาะสมในการเพิ่มคุณค่าของบริษัท เช่น การลงทุนในโครงการใหม่หรือการคืนทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นผ่านเงินปันผลหรือการซื้อคืนหุ้น 
  4. การค้นหาโอกาสในการเติบโต: การเงินธุรกิจช่วยให้บริษัทระบุและประเมินโอกาสในการเติบโต ซึ่งรวมถึงการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ทางการเงินของโครงการใหม่ การประเมินผลกระทบต่อตำแหน่งการเงินธุรกิจ และการตัดสินใจว่าจะดำเนินการหรือไม่ 
  5. การระบุความได้เปรียบในการแข่งขัน: การเงินธุรกิจช่วยให้บริษัทได้รับความได้เปรียบในการแข่งขันโดยการตัดสินใจทางการเงินที่ชัดเจนซึ่งทำให้บริษัทมีประสิทธิภาพมากกว่าคู่แข่ง ซึ่งอาจเป็นการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ การขยายตัวในตลาดใหม่ หรือการเข้าซื้อบริษัทอื่น 

สรุปแล้ว การเงินธุรกิจมีความสำคัญสำหรับความสำเร็จและการเติบโตของบริษัทใดๆ โดยการตัดสินใจทางการเงินที่มีกลยุทธ์จะสามารถช่วยให้บริษัทมีเพิ่มมูลค่าของผู้ถือหุ้นสูงสุด จัดการความเสี่ยง และระบุโอกาสในการเติบโต เพื่อให้บริษัทมีความสามาถในการแข่งขันและบรรลุเป้าหมายในระยะยาวได้

เรื่องสำคัญของการเงินธุรกิจ

การเงินธุรกิจเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการเงินที่หลากหลายซึ่งช่วยให้บริษัทตัดสินใจอย่างมีกลยุทธ์และปรับประสิทธิภาพทางการเงินของตนได้ เรื่องต่อไปนี้คือเรื่องที่สำคัญของการเงินธุรกิจ:

  • การวิเคราะห์การลงทุน: เกี่ยวข้องกับการประเมินโอกาสการลงทุนที่เป็นไปได้และตัดสินใจว่าโครงการใดควรได้รับการดำเนินการหรือไม่ โดยพิจารณาจากผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับและความเสี่ยง เทคนิคการจัดสรรงบประมาณรวมถึงการประเมินมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) อัตราผลตอบแทนภายใน (IRR) และการวิเคราะห์ระยะเวลาคืนทุน 
  • โครงสร้างทุน: หมายถึงการผสมผสานหนี้และทุนส่วนของการเงินเพื่อใช้เงินทุนในการดำเนินกิจการและการลงทุนของบริษัท จุดมุ่งหมายของการบริหารโครงสร้างทุนคือการสมดุลความได้เปรียบของหนี้ (ต้นทุนการเงินต่ำลง, การป้องกันภาษี) ต่อต้นทุนของอัตราส่วนความเสี่ยงทางการเงินและต้นทุนของการกระทำด้วยตนเอง 
  • การซื้อขายและการควบรวมบริษัท: หมายถึงการประเมินเป้าหมายในการซื้อขายที่เหมาะสม การดำเนินการตรวจสอบข้อมูล การเจรจาเรื่องข้อตกลงการซื้อขาย และการรวมบริษัทที่ได้ซื้อมาเข้ากับกิจการของบริษัท 

โดยการบริหารจัดการด้านเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทสามารถตัดสินใจทางการเงินอย่างเหมาะสม และสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพของตนเอง และบรรลุเป้าหมายระยะยาวของตนเองได้ 

ความเสี่ยง เวลา และสถานการณ์ตลาดเป็นปัจจัยสำคัญที่สามารถมีผลต่อการตัดสินใจด้านการเงินธุรกิจทั่วไป บริษัทแต่ละรายเผชิญกับความเสี่ยงไม่ว่าจะเป็นความผันผวนของตลาด การเปลี่ยนแปลงของกฎหมายหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเช่นภัยพิบัติธรรมชาติหรือการระบาดของโรคระบาด บริษัทต้องประเมินความเสี่ยงเหล่านี้และพัฒนากลยุทธ์ในการจัดการกับมันอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ผ่านการป้องกันความเสี่ยง การกระจายความเสี่ยง หรือการทำประกันภัย 

เวลาเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจด้านการเงินธุรกิจเช่นกัน เนื่องจากบริษัทต้องหาความสมดุลของความต้องการในระยะสั้นกับเป้าหมายในระยะยาว ตัวอย่างเช่น บริษัทอาจต้องลงทุนในการวิจัยและพัฒนา การตลาด หรือโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนการเติบโตในอนาคต แต่ในเวลาเดียวกัน พวกเขาต้องการจัดการกระแสเงินสดของตนและให้มีทรัพยากรเพียงพอในการตอบสนองต่อความต้องการในปัจจุบันของพวกเขา 

เงื่อนไขของตลาดเป็นปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่สามารถมีผลต่อการตัดสินใจด้านการเงินธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หรือการกดดันจากคู่แข่ง ทั้งหมดนี้สามารถมีผลต่อยอดขาย รายได้ และกำไรของบริษัท ซึ่งบริษัทต้องสามารถตอบสนองอย่างรวดเร็วต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้ รวมถึงการลงทุนอย่างเป็นกลยุทธ์ การขายสินทรัพย์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานหลัก หรือการเข้าร่วมในพันธมิตรทางกลยุทธ์หรือการซื้อขายกิจการ 

ตัวอย่างเช่นอุตสาหกรรมที่ผลิตถั่วเหลืองเป็นต้น มันเผชิญกับความเสี่ยงจากสภาพอากาศเช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม หรืออุณหภูมิสูง สามารถมีผลต่อผลผลิตถั่วเหลืองโดยตรง ทำให้บริษัทมีรายได้ลดลง ในเชิงเวลาแล้วการปลูกและเก็บเกี่ยวสามารถมีผลต่อกระแสเงินสดและต้องการการบริหารจัดการทุนหมุนเวียนอย่างรอบคอบ สภาพตลาดเช่น อุปสงค์และความต้องการของตลาดโลก นโยบายการค้า และความชื่นชอบของผู้บริโภคสำหรับผลิตภัณฑ์ทางเลือกยังสามารถมีผลต่อราคาถั่วเหลืองและกำไรของบริษํทได้ 

ผู้แนะนำด้านการเงินธุรกิจจะสามารถช่วยบริษัทได้อย่างไร

ที่ปรึกษาด้านการเงินธุรกิจสามารถให้คำปรึกษาและความเชี่ยวชาญที่มีค่าในการช่วยบริษัทตัดสินใจเรื่องการจัดสรรทุนและเพิ่มมูลค่าของบริษัท ตัวอย่างของบริการที่ได้รับการปรึกษาเหล่านี้รวมถึง:

  • วางแผนกลยุทธ์ทางการเงิน: ที่ปรึกษาด้านการเงินธุรกิจสามารถช่วยบริษัทในการพัฒนาแผนการเงินที่สอดคล้องกับเป้าหมายกลยุทธ์ของตน ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการประเมินโอกาสการลงทุน การประเมินผลการดำเนินงานทางการเงินธุรกิจ และการระบุความเสี่ยงและโอกาสที่เป็นไปได้ 
  • การระดมทุน: ที่ปรึกษาด้านการเงินสามารถช่วยบริษัทในการระดมทุนผ่านการจัดหาเงินผ่านตราสารทุนหรือหนี้ ซึ่งต้องมีการเตรียมการประมาณการการดำเนินงานของบริษัท, การระบุนักลงทุนหรือผู้ให้สินเชื่อที่เป็นไปได้, และการต่อรองเพื่อให้เป็นเงื่อนไขที่เป็นที่พอใจ. 
  • การควบรวมและการซื้อขายบริษัท: ที่ปรึกษาด้านการเงินธุรกิจสามารถให้คำแนะนำและสนับสนุนในระหว่างขั้นตอนการซื้อขายและการควบรวม ซึ่งเกี่ยวข้องกับการประสานงานการตรวจสอบข้อมูล การประเมินเป้าหมาย และการเจรจาเรื่องข้อตกลงการซื้อขาย 
  • การปรับโครงสร้างทางการเงิน: ที่ปรึกษาด้านการเงินธุรกิจสามารถช่วยบริษัทในการจัดโครงสร้างทางการเงินของตนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงทางการเงิน นี้อาจเกี่ยวข้องกับการจัดหาเงินกู้ใหม่ (Refinancing) และการขายสินทรัพย์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานหลักอย่างมีประสิทธิภาพ 

โดยทั่วไปบริการที่ได้รับการปรึกษาจากที่ปรึกษาทางการเงินธุรกิจจะเน้นสามด้านหลักคือการจัดหาเงินทุน การปรับโครงสร้างหนี้สินและ การซื้อขายและควบรวมบริษัท 

การระดมทุน (Capital Raising)

การระดมทุนเป็นกระบวนการที่บริษัทเพื่อหาเงินทุนมาใช้ในการดำเนินงานหรือการเติบโตของบริษัท เมื่อพูดถึงวิธีการระดมทุนที่พบบ่อย มีการระดุมทุนผ่านตราสารหนี้หรือทุน การระดมทุนผ่านตราสารทุนเกี่ยวข้องกับการนำหุ้นที่เป็นเจ้าของในบริษัทให้กับนักลงทุนในตลาดเพื่อรับทุน ซึ่งสามารถทำได้ผ่านการซื้อขายและการรวมกิจการ (M&A), การเสนอขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ (IPOs), การเสนอขายในตลาดรอง (secondary offerings), หรือการจัดหาทุนผ่านนักลงทุน (private placements) ในขณะเดียวกัน การระดมทุนด้วยหนี้สินเกี่ยวข้องกับการกู้เงินจากผู้ให้สินเชื่อ เช่น ธนาคาร, เจ้าหนี้พันธบัตร, หรือสถาบันการเงินอื่น ๆ การระดมทุนด้วยหนี้สินนั้นเกี่ยวข้องกับการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยในระยะเวลาที่กำหนด โดยทั่วไปจะไม่เกี่ยวข้องกับการโอนสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของในบริษัทให้แก่ผู้ถือตราสารหนี้นั้น บริษัทต้องพิจารณาตัวเลือกการจัดหาเงินทุนและผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นก่อนตัดสินใจว่าจะระดมทุนผ่านตราสารทุน ตราสารหนี้สิน หรือทำร่วมกัน

การจัดหาเงินทุนผ่านตราสารหนี้

การจัดหาเงินผ่านตราสารหนี้เป็นกระบวนการในการหาเงินทุนสำหรับบริษัทหรือองค์กรผ่านการออกหนี้สินที่ไม่ใช่หุ้น เช่น สินเชื่อ การรับชำระเงินล่วงหน้า ตั๋วหนี้หรือเครื่องมือทางการเงินในตลาดหลักทรัพย์ การจัดหาเงินผ่านหนี้สามารถให้แหล่งเงินทุนที่เชื่อถือได้สำหรับบริษัทเพื่อการเติบโต การซื้อขายบริษัท หรือเป็นทุนหมุนเวียน และการทำกลยุทธ์ของกิจการ 

เมื่อบริษัทจัดหาเงินผ่านหนี้ บริษัทจะตกลงจ่ายดอกเบี้ยในจำนวนที่ถูกกู้และชำระเงินต้นในวันที่กำหนด และปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆ รวมถึง อัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาการชำระเงินต้น และการวางหลักประกัน จะถูกเจรจาระหว่างผู้กู้และผู้ให้กู้หรือนักลงทุน 

การจัดหาเงินผ่านตราสารหนี้อาจเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนที่ต้องการการวางแผนและดำเนินการอย่างระมัดระวัง ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับการประมาณการทางการเงิน การประเมินความน่าเชื่อถือในการขอสินเชื่อ การระบุผู้ให้สินเชื่อหรือนักลงทุนที่เป็นไปได้ และการเจรจาเรื่องเงื่อนไขที่พอใจ บริษัทอาจเลือกที่จะจัดหาเงินผ่านหนี้ผ่านการเสนอขายสาธารณะในตลาดหลักทรัพย์ การจัดหาทุนส่วนบุคคล หรือสินเชื่อธนาคาร ขึ้นอยู่กับความต้องการทางการเงินและวัตถุประสงค์ของบริษัท 

ด้านล่างนี้เป็นขั้นตอนการจัดหาเงินผ่านหนี้ที่สรุปไว้แบบย่อ: 

การจัดโครงสร้างหนี้

หากบริษัทมีหนี้มากเกินไป – หรือหนี้ของมันเกินกว่าความสามารถในการสร้างเงินสด – อาจจำเป็นต้องมีการจัดหาหนี้เพื่อรีไฟแนนซ์หรือทำการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของหนี้ สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นเนื่องจากสาเหตุหลายประการ แต่มักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ทางการเงินของธุรกิจ 

การจัดโครงสร้างหนี้คือกระบวนการในการต่อรองเงื่อนไขของหนี้ที่ยังคงอยู่ของบริษัท ซึ่งรวมถึงการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาการชำระหนี้ หรือเงื่อนไขอื่นๆ เพื่อทำให้เพิ่มความคล่องตัวสำหรับผู้กู้ 

มีหลายทางเลือกในกระบวนการจัดโครงสร้างหนี้ เช่น: 

  • การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของหนี้: โดยมักเกี่ยวข้องกับการยืดระยะเวลาในการชำระหนี้ ซึ่งอาจช่วยให้บริษัทสามารถเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้และปฏิบัติตามเงื่อนไขในระยะสั้นได้ 
  • การลดอัตราดอกเบี้ย: สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการต่อรองอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำลงบนหนี้ซึ่งสามารถลดต้นทุนการกู้ยืมและปรับปรุงกระแสเงินสดของบริษัทได้ 
  • การปรับเปลี่ยนหลักประกัน: เป็นการต่อรองโครงสร้างของหลักประกันที่ดีกว่าเพื่อให้บริษัทสามารถปฏิบัติตามภาระที่มีอยู่ในปัจจุบันและบริหารเงินสดที่ต้องใช้ในอนาคตได้ 
  • การแปลงหนี้เป็นทุน: สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการแปลงส่วนของหนี้สินเป็นทุนซึ่งสามารถปรับปรุงงบดุลและลดหนี้ของบริษัทได้ 

การจัดโครงสร้างหนี้อาจเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนที่ต้องการการต่อรองและการวางแผนอย่างระมัดระวัง และมักเกี่ยวข้องกับการทำงานร่วมกับเจ้าหนี้หลายรายและการให้สิ่งที่เหมาะสมสำหรับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง 

โดยรวมการจัดโครงสร้างหนี้สามารถให้บริษัทได้วิธีการจัดการกับหนี้และปรับปรุงฐานะทางการเงินของตนได้ อย่างไรก็ตาม มันสำคัญที่บริษัทจะพิจารณาความเสี่ยงและประโยชน์ของการจัดโครงสร้างหนี้โดยรอบและค้นหาคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินก่อนการตัดสินใจใดๆ 

การซื้อขายและควบรวมบริษัท

การซื้อขายและการควบรวมบริษัท (M&A) เป็นกลยุทธ์ที่บริษัทใช้ในการขยายงานหรือได้รับความได้เปรียบในตลาด 

การควบรวมเกิดขึ้นเมื่อสองบริษัทรวมกันเป็นบริษัทเดียว โดยมักมีชื่อและโครงสร้างการจัดการใหม่ สามารถเกิดขึ้นในหลายวิธี เช่น ผ่านการแลกเปลี่ยนหุ้น ธุรกรรมเงินสด หรือการผสมสองอย่างรวมกัน วัตถุประสงค์ของการควบรวมคือการสร้างบริษัทที่มีประสิทธิภาพและสามารถทำกำไรได้มากขึ้นโดยการรวมคุณสมบัติขององค์กรทั้งสอง 

และการซื้อขายเกิดขึ้นเมื่อบริษัทหนึ่งซื้อบริษัทอื่นเพื่อรับควบคุมทรัพย์สิน ทรัพยากร และการดำเนินการของบริษัทที่ถูกซื้อ บริษัทที่ถูกซื้ออาจยังดำเนินธุรกิจอย่างเดิมหรืออาจถูกผสานเข้ากับการดำเนินการที่มีอยู่ของบริษัทของผู้ซื้อ 

การซื้อขายและการควบรวมบริษัทมักมีแรงจูงใจมาจากความต้องการที่จะบรรลุข้อได้เปรียบของขนาดบริษัท ลดความแข่งขัน การกระจายความเสี่ยงของธุนกิจ หรือเข้าถึงตลาด เทคโนโลยีใหม่ๆ 

นอกจากนี้ การเป็นตัวแทนฝั่งขายของการทำ M&A สามารถนำมาใช้กับบริษัทที่ต้องการสิ่งดังต่อไปนี้: 

  • การจัดหาเงินทุน: บริษัทอาจขายหุ้นเพื่อระดมทุนเพื่อการเติบโต การดำเนินการ แผนขยายหรือลดหนี้ทางการเงิน โดยการขายหุ้นบริษัทสามารถระดมทุนจากนักลงทุนโดยไม่ต้องหาหนี้เพิ่มเติม 
  • การกระจายการลงทุน: บริษัทอาจขายหุ้นเพื่อกระจายการลงทุนและลดความเสี่ยง โดยการลงทุนในบริษัทอื่น ๆ บริษัทสามารถกระจายการลงทุนของตนในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อลดความเสี่ยงต่อตลาดหรือสินทรัพย์ใดๆ 
  • การถอนตัวออกจากธุรกิจ: เจ้าของบริษัทหรือนักลงทุนอาจขายหุ้นของพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของยุทธวิธีการออกจากการดำเนินงาน เช่น การเกษียณ การวางแผนการสืบทอด หรือการขายธุรกิจ โดยการขายหุ้นของพวกเขาเจ้าของสามารถรับรู้กำไรจากการลงทุนและโอนสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของให้แก่นักลงทุน 
  • พันธมิตรทางธุรกิจ: บริษัทอาจขายหุ้นเพื่อเป็นพันธมิตรทางธุรกิจหรือนักลงทุนเพื่อสร้างพันธมิตรหรือการร่วมธุรกิจกัน โดยการขายหุ้นของบริษัทให้เป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรทางธุรกิจ บริษัทสามารถเข้าถึงตลาดใหม่ๆ เทคโนโลยี หรือความเชี่ยวชาญใหม่ๆ ซึ่งสามารถช่วยให้บริษัทบรรลุวัตถุประสงค์ของตนได้ 
  • ความคล่องตัว: บริษัทอาจขายหุ้นเพื่อให้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับผู้ถือหุ้น เพื่ออนุญาตให้พวกเขาขายหุ้นของพวกเขาและรับรู้กำไรจากการลงทุน สำหรับผู้ถือหุ้นที่ต้องการเงินสดเพื่อวัตถุประสงค์อื่น 

การดำเนินการ M&A นั้น มักจะเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและเสี่ยงอย่างมาก และจำเป็นต้องมีการวางแผน การตรวจสอบข้อมูล และการต่อรองอย่างระมัดระวังเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้รับประโยชน์จากการทำธุรกรรม 

กระบวนการของการซื้อขายและการควบรวมบริษัทมักใช้เวลาหลายเดือน ในการสิ้นสุด และมีขั้นตอนการต่อรองที่ซับซ้อน ซึ่งมักจะมีลำดับขั้นตอนที่มักจะเป็นไปตามนี้ 

ขั้นตอนการเตรียมการ (Preparation Phase) 

  • เข้าใจแรงจูงใจของลูกค้าและวัตถุประสงค์หลักในการทำการซื้อขายกิจการของบริษัท 
  • การระบุรายชื่อนักลงทุนที่เป็นไปได้รวมถึงนักลงทุนกลยุทธ์และ/หรือ นักลงทุนทางการเงิน 
  • ศึกษาเรื่องการดำเนินการของบริษัทและผลการดำเนินงานของบริษัทในอดีต 
  • เตรียมการทำการประมาณการอนาคตของบริษัท การประเมินมูลค่า และเอกสารในการตลาด (teaser, information Memorandum และ process letter)

การเข้าสู่ตลาด (Approach to the market)

  • การเข้าถึงนักลงทุนที่เป็นไปได้ในกระบวนการโปรโมตของบริษัท 
  • การเซ็นสัญญาห้ามเปิดเผยข้อมูล (NDA) และส่งมอบเอกสารการตลาดให้แก่นักลงทุนที่สนใจในการทำธุรกรรม 
  • การสอบถามและการนำเสนอของผู้ลงทุนที่เป็นไปได้และการนำเสนอของผู้บริหาร 
  • การยื่นข้อเสนอที่ไม่ผูกพัน (Non-Binding Offer – NBO) โดยนักลงทุนให้กับบริษัท ซึ่งไม่ได้แสดงถึงราคา แต่ยังเป็นเงื่อนไขหลักและเงื่อนไขหลักของการทำธุรกรรม 

การตรวจสอบทางธุรกิจ (Due diligence) และการเสนอราคาสุดท้าย

  • กระบวนการตรวจสอบความเป็นไปได้ทางธุรกิจจะช่วยให้นักลงทุนทำการสอบสวนและวิเคราะห์เพื่อวัดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในหลาย ๆ ส่วนของธุรกิจของบริษัท 
  • นอกจากนี้ กระบวนการตรวจสอบความเป็นไปได้ยังช่วยให้นักลงทุนได้เรียนรู้รายละเอียดของการดำเนินงานทั่วไปของบริษัทอย่างละเอียด 
  • หลังจากกระบวนการตรวจสอบ นักลงทุนจะออกข้อเสนอที่ผูกพันต่อบริษัทโดยระบุราคาที่ปรับแล้ว เงื่อนไขการชำระเงิน ข้อจำกัดในการแข่งขัน วิธีการจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น การรับรอง และอื่น ๆ 

การต่อรองและการเซ็นสัญญาในขั้นสุดท้าย 

  • หลังจากการออกข้อเสนอที่ผูกพัน ฝ่ายต่าง ๆ จะต่อรองเงื่อนไขของการทำธุรกรรม 
  • เงื่อนไขสุดท้ายของการทำธุรกรรมจะถูกจัดทำในข้อตกลงที่เซ็นสัญญาโดยฝ่ายที่เกี่ยวข้องซึ่งโดยปกติรวมถึง: ข้อตกลงซื้อขายหุ้น (SPA), ข้อตกลงผู้ถือหุ้น และอื่น ๆ 
  • หลังจากการสมบูรณ์ของเงื่อนไขก่อนการทำธุรกรรม การทำธุรกรรมจะถูกปิดลง 

การร่วมธุรกิจ (Joint Ventures)

ในขณะที่การควบรวม การร่วมธุรกิจเป็นการจัดระเบียบธุรกิจที่สองหรือมากกว่าบริษัทมาร่วมกันเพื่อดำเนินโครงการหรือกิจกรรมธุรกิจเฉพาะหน้า การร่วมธุรกิจ แต่ละบริษัทจะมีส่วนร่วมในการลงทุน ความเชี่ยวชาญ และส่วนทุนที่ใช้ลงทุนและแบ่งปันความเสี่ยงและผลประโยชน์ของการร่วมธุรกิจตามการตกลง 

การร่วมธุรกิจนั้นสามารถมาในหลายรูปแบบ เช่นการจัดตั้ง ห้างหุ้นส่วนแบบจำกัด บริษัทจำกัด ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องต่างๆที่บริษัทนั้นดำเนินการอยู่ 

การร่วมธุรกิจสามารถเป็นประโยชน์ต่อบริษัทในหลาย ๆ ด้าน เช่น: 

  • การเข้าถึงตลาดใหม่: การร่วมธุรกิจช่วยให้บริษัทเข้าสู่ตลาดหรืออุตสาหกรรมใหม่ที่พวกเขามีประสบการณ์หรือความเชี่ยวชาญน้อย 
  • การแบ่งปันทรัพยากร: โดยการรวมทรัพยากร บริษัทสามารถบรรลุขนาดที่เหมาะสมในการดำเนินธุรกิจ (Economic of Scale) ซึ่งจะสามารถลดต้นทุนของบริษัทได้ 
  • การกระจายความเสี่ยง: การร่วมธุรกิจช่วยให้บริษัทสามารถกระจายความเสี่ยงของโครงการเพื่อลดภาระทางการเงินของโครงการนั้นๆได้ 
  • การเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่: การร่วมธุรกิจสามารถให้การเข้าถึงเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญที่อาจจะเป็นไปได้ยากหรือใช้เงินในการพัฒนาจำนวนมาก 

อย่างไรก็ตาม การร่วมธุรกิจก็อาจซับซ้อนและท้าทายในการจัดการ เนื่องจากการต้องมีการสื่อสาร การประสานงาน และการจับความสอดคล้องของวัตถุประสงค์ร่วมกันของบริษัทที่เข้าร่วมอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น บริษัทควรพิจารณาความเสี่ยงและประโยชน์ของการร่วมธุรกิจก่อนที่จะทำข้อตกลงดังกล่าว

การร่วมค้าผ่านทุน: ในการร่วมค้าผ่านทุน สองบริษัทหรือมากกว่าจะสร้างกิจการใหม่ที่แต่ละฝ่ายมีส่วนร่วมในการลงทุนและจัดสรรทรัพยากรและได้รับส่วนแบ่งของกำไรและขาดทุนของกิจการร่วมกันตามสัญญาที่กำหนดไว้ การทำสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์กับบริษัทขนาดเหล็กซึ่งจะทำให้สามารถเข้าถึงโปรเจ็คขนาดใหญ่ได้โดยไม่ต้องผ่านการควบรวม 

การร่วมทุนตามสัญญา: คือการร่วมมือระหว่างบริษัทสองๆ หรือมากกว่าที่พื้นฐานอยู่ในสัญญาหรือข้อตกลง ซึ่งไม่ใช่การสร้างนิติบุคคลใหม่ ผู้เข้าร่วมตกลงทำงานร่วมกันในโครงการหรือกิจกรรมธุรกิจเฉพาะตามเงื่อนไขของข้อตกลงที่ระบุไว้และแบ่งความเสี่ยงและผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น 

การร่วมทุนตามโครงการ: เป็นพันธมิตรชั่วคราวระหว่างบริษัทสอง ๆ หรือมากกว่าที่ร่วมมือกันในโครงการหรือกิจกรรมที่เฉพาะเจาะจง การร่วมทุนโครงการจะถูกยุติเมื่อโครงการเสร็จสิ้น หรือบรรลุจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ 

การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ: เป็นที่สองหรือมากกว่าบริษัทที่มีเป้าหมายคล้ายกันในระยะยาวเพื่อให้บรรลุเป้าหมายร่วมกัน พันธมิตรอาจเกี่ยวข้องกับการแบ่งปันทรัพยากร เช่น ความชำนาญหรือเทคโนโลยี และอาจส่งผลให้เกิดสินค้าหรือบริการใหม่ ๆ 

การจัดตั้งสมาคม (Consortium): คือการร่วมกลุ่มของบริษัทหลาย ๆ รายที่ร่วมกันในการนำเสนอราคาหรือสัญญาใหญ่ ๆ หรือสัญญา สมาชิกของคอนโซเรียมแบ่งปันความเสี่ยงและผลประโยชน์ของโครงการและอาจทำงานร่วมกันในอนาคต 

สรุป

การเงินธุรกิจเป็นส่วนสำคัญของแผนธุรกิจใด ๆ และหากไม่มีเครื่องมือการเงินธุรกิจ ก็ยากที่จะทำการเติบโตหรือการเข้าถึงตลาดอย่างรวดเร็วอย่างมีมีประสิทธิภาพ ซึ่งเรื่องนี้ไม่มี “วิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับทุกคน” สำหรับการเงินธุรกิจและบริษัทควรพิจารณาความต้องการและทรัพยากรของตนเองเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขากำลังใช้กลยุทธ์ที่ถูกต้อง 

หากคุณต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการช่วยเหลืการเงินธุรกิจของ CZ โปรดติดต่อทีมการเงินธุรกิจของเรา

เกี่ยวกับการเงินธุรกิจ (Corporate finance) ของ CZ